ถอดบทเรียนการตลาดจากค่ายหนังอารมณ์ดี GDH

ธุรกิจด้านความบันเทิงที่ต้นทุนสูง ความเสี่ยงสูง ในโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปรวดเร็ว GDH เเละนาดาวบางกอกค่ายหนังยืนหนึ่งเรื่องภาพยนตร์เเละซีรี่ส์ ที่ภายใต้ธุรกิจที่ผันผวนเเต่ GDH สามารถบริหารงานได้โดยไม่ขาดทุน

วันนี้ MarketingGuru จึงอยากพาทุกคนมาถอดบทเรียนการตลาดของ GDH เเละนาดาวกับ 3 หลักสำคัญที่นำไปสู่การเพิ่มรายได้ให้บริษัทของธุรกิจที่คาดเดายากเเต่พวกเขาสามารถอยู่รอดได้อย่างมั่นคง

ใช้เเค่สัญชาตญาณไม่พอต้องมีข้อมูล Insight เพื่อเข้าใจผู้ชม

ใช่เเล้วเพราะ GDH มีการศึกษาข้อมูลอย่างลึกซึ่งก่อนทำภาพยนตร์เพื่อให้เข้าถึงอารมณ์ผู้ชมได้มากขึ้นนั่งเอง อย่างเรื่อง “น้องพี่ที่รัก” ที่คนมีพี่น้องหลายคนไปดูก็เป็นต้องอินเหมือนถอดมาจากชีวิตตัวเอง นั่นไงคุณโดนตกเรียบร้อยเเล้วล่ะ

เกาะกระเเส ปรับตัวตามสถานการณ์

นอกจากค่ายจะสร้างกระเเสเเล้ว ยังต้องคอยติดตามเเละเกาะกระเเสสังคมด้วย อย่างเมื่อช่วง Covid-19 ก็มีกักตัวเดอะซีรี่ส์ปล่อยออกมาในช่วงนั้น ถือเป็นการปรับตัวอย่างรวดเร็วทีเดียวกับการสร้างซีรี่ส์ออกมาในยุค New Normal ณ ตอนนั้น

หรือกระเเสซีรี่ส์วายที่กำลังขยายตลาด ค่ายก็มีการปล่อยภาพยนตร์ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ” เป็นซีรี่ส์วายที่เสริมด้วยการสะท้อนประเด็นทางสังคมควบคู่ไปด้วย เเอบ tie in ขายของเเบบเนียน ๆ เเต่ก็เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลเพราะเหล่าเเฟนซีรี่ส์ต่างยอมที่จะจ่ายเงิน เพื่อเก็บความทรงจำดี ๆ จากในซีรี่ส์เอาไว้

สร้างปรากฎการณ์

“ใครฆ่าประเสริฐ”
“รักติดไซเรน”

ปรากฎการณ์ที่สร้างความฮือฮา ติดเเฮชเเท็กมากมายสร้างกระเเสฮอทฮิตที่นำมาซึ่งการได้รู้จักเพิ่มมากขึ้น เพิ่มยอดผู้ชมเเละรายได้อื่น ๆ ก็เพิ่มตามมาด้วยนั้นเอง

ไม่ใช่เเค่สร้างความโด่งดังให้บริษัทเเละนักแสดง เเต่หลักการตลาด 3 อย่างของ GDH เเละนาดาวยังสร้างรายได้ที่ดีให้กับบริษัท ซึ่งไม่ใช่หลักการที่ได้ผลเเค่กับธุรกิจบันเทิงเท่านั้น เเต่ในการทำการตลาดทั่ว ๆ ก็ต้องคำนึงถึง กลุ่มลูก กระเเสสังคม เเละการสร้างกระเเสให้ผลิตภัณฑ์ของตนเช่นกัน


ขอบคุณข้อมูลจาก : forbesthailand

Tags: No tags

Comments are closed.