line oa picture size

ขนาดรูป line หมดทุกไซส์ ถูกใจ Online marketing อัพเดตปี 2024

line oa picture size

Line เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่นิยมใช้ในปัจจุบัน นอกเหนือจากการติดต่อสื่อสารแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับการทำ Online marketing ด้วย หรือที่เรียกว่า Line ads ซึ่งแน่นอนว่า หากต้องการใช้ช่องทางนี้ในการทำการตลาดออนไลน์ เราจำเป็นต้องรู้ถึงขนาดรูป line เพื่อที่จะได้นำมาสร้างสรรค์เป็นคอนเทนต์หรือ Line ads ให้เหมาะสมนั่นเอง อย่าลืมว่าการทำกราฟิก หรือรูปภาพประกอบคอนเทนต์นั้น เป็นสื่อที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย และสร้าง Visual ของแบรนด์ได้ดีกว่าการใช้แค่ข้อความธรรมดา 

วันนี้เรามีขนาดรูปในไลน์ครบทุกไซส์ที่แสดงในรูปแบบของโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบบที่ต้องถูกใจสาย Online marketing มาฝากกันค่ะ เพื่อที่จะได้นำไปประยุกต์สร้างเป็นคอนเทนต์เก๋ๆ หรือ Line ads ปังๆกันนนน ไปค่ะ ลุยกันเลยยยยย

1. ขนาดรูป Line: ภาพโปรไฟล์ และรูป Cover

  • ภาพโปรไฟล์: ภาพที่แสดงแทนตัวของผู้ใช้, แบรนด์ หรือธุรกิจ ซึ่งเป็นภาพแรกที่ทุกคนจะเห็น ขนาดที่เหมาะสมคือ 168×168 px หรือเป็นภาพแนวสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยเป็นขนาดที่ชัดที่สุด ที่จะแสดงผลออกมาได้ 
  • ภาพปกไลน์: ขนาดภาพที่เหมาะสมคือ ภาพแนวตั้ง 720×1280 px แต่เมื่อลองใช้งานแล้ว จะพบว่าขนาดดังกล่าว บริเวณด้านล่าง จะถูกบังด้วยเมนู

ดังนั้น ควรใช้บริเวณ safe zone ของภาพ ในสัดส่วนของ 720×978 px (บริเวณกลางภาพ) ซึ่งสาระสำคัญหรือสิ่งที่ต้องการให้เห็นอย่างชัดเจน ควรอยู่ในบริเวณ Safe zone นี้ด้วย

2. ขนาดรูป Line: ในแชตสนทนา

จริงอยู่ที่ในแชต สามารถอัปโหลดได้ทุกขนาด และ Line เองก็แสดงผลให้ได้ครบทุกขนาดได้ด้วยเช่นกัน แต่สำหรับการทำการตลาดออนไลน์ หรือใช้เพื่อการขายแล้วนั้น ก็ควรเป็นอัตราส่วนที่อ่านง่าย และพอดีกับหน้าจอภาพโทรศัพท์ ซึ่งในที่นี้ ขอแนะนำขนาดรูปในไลน์ 3 ขนาด ที่ทำให้ภาพน่าอ่านมากยิ่งขึ้น

  • ขนาด 1200×1600 px (แนวตั้ง 3:4) – เหมาะกับการจัดวางองค์ประกอบที่ไล่เรียงจากส่วนบนลงมาส่วนล่าง หรือวางภาพสินค้าด้านบน แล้วมีคำโปรยเด่นๆอยู่ด้านล่าง และต้องการใส่ภาพที่เน้นขนาดใหญ่ การใช้สัดส่วน 3:4 ถือเป็นขนาดที่เหมาะสม
  • ขนาด 1200×1200 px (สี่เหลี่ยมผืนผ้า 1:1) – เหมาะกับการทำภาพที่สามารถนำไปใช้ต่อในแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Facebook, Twitter หรือ Instagram ทำครั้งเดียว สามารถใช้ได้หลากหลายช่องทาง และรวมถึงช่องทางของ Line ด้วยเช่นกัน
  • ขนาด 1200×900 px (แนวนอน 4:3) – หากเป็นภาพถ่ายแบบทั่วไป การทำแนวนอนเป็นสัดส่วน 4:3 ซึ่งต่อให้ดูเล็กกว่า 2 ขนาดด้านบน แต่ยังให้ความชัดเจนอยู่ในการทำภาพแนวนอน

*หากใครต้องการส่งภาพเป็นแบบ Album ก็สามารถทำได้ โดยการส่งภาพพร้อมกันหลายๆภาพ แต่การแสดงผลอาจจะต่างกันเล็กน้อย คือ

  • หากจำนวนภาพใน Album เป็นเลขคู่ ภาพทั้งหมดจะถูกปรับให้แสดงเป็นสัดส่วนสี่เหลี่ยมจัตุรัส
  • หากจำนวนภาพใน Album เป็นเลขคี่ ภาพสุดท้ายจะถูกปรับให้เป็นขนาด 16:9 ส่วนภาพที่เหลือจะเป็นขนาดจัตุรัสเท่าเดิม

3. ขนาดรูป Line: ในหน้า Timeline

หลายๆคนมองข้ามการใช้ฟีเจอร์นี้ แต่จริงๆเราสามารถใช้โปรโมตแบรนด์หรือสินค้าได้ เพราะหากเราทำการโพสต์ลงหน้า Timeline เป็นประจำ จะทำให้โปรไฟล์ดูเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีขนาดดังต่อไปนี้

  • ขนาด 1200×1200 px (สี่เหลี่ยมผืนผ้า 1:1) – เป็นการใช้ขนาดที่สามารถทำให้เห็นภาพที่มีนาดเต็ม รายละเอียดชัดเจน และหลายๆแบรนด์มักใส่ปุ่ม CTA บริเวณด้านล่าง เพื่อให้คนที่สนใจกดเข้าไปซื้อสินค้าได้
  • ขนาด 1200×1540 px (แนวตั้ง 7:9) – เป็นขนาดที่กว้างที่สุด จึงเหมาะกับคอนเทนต์ที่มีองค์ประกอบเยอะ และดึงดูดสายตาได้มากที่สุด
  • ขนาด 1200×600 px (แนวนอน 2:1) – เป็นขนาดรูปในไลน์ที่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่หากต้องการทำภาพแนวนอนบน Timeline สัดส่วนนี้ถือว่ามีความเหมาะสมมากที่สุด

4. ขนาดรูป Line: สำหรับ Line ads platform (LAP)

Line Ads Platform คืออะไร ?

เป็นรูปแบบหนึ่งในการซื้อโฆษณาเพื่อให้คอนเทนต์ของเราไปปรากฎในพื้นที่ต่างๆบน LINE แต่สามารถใช้ได้กับ LINE Offial Account เท่านั้น

เราสามารถลง Line Ads ผ่าน LAP ได้อย่างไร

หากคุณมี LINE Official Account แล้ว และต้องการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้คน ก็สามารถใช้บริการ LINE Ads Platform (LAP) ในรูปแบบโพสต์ที่ได้รับการสนับสนุน (Sponsored Post) ซึ่งจะเป็นโฆษณาที่ปรากกบน LINE Timeline และ LINE Today

ขนาดรูปสำหรับ Line Ads มีอะไรบ้าง

  • ขนาด 1080×1080 px (สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1:1) – ขนาดที่สามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจน ซึ่ง LAP สามารถเพิ่ม CTA ที่ลูกค้าจะสามารถกดเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการได้ทันที รวมถึงปุ่มเพิ่มเพื่อน, ปุ่มที่ลิงก์ไปยังหน้า Landig page ก็สามารถทำได้เช่นกัน
  • ขนาด 1200×628 px (Horizontal 1.9:1) – เหมาะสำหรับใช้เป็นภาพ Pop up ที่จะแสดงสุ่มขึ้นมาใน Line Today

5. ขนาดวิดีโอบน Line Ads Platform

  • ขนาด 1080×1080 px (สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1:1) – เป็นขนาดวิดิโอทั่วไป สามารถใช้ได้กับหลากหลายแพลตฟอร์ม
  • ขนาด 1280×720 px (แนวนอน 16:9) – เป็นขนาดที่ใช้กับคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอเหมือนกันกับ Youtube ซึ่งสามารถใช้กับ Line Ads ได้เช่นกัน

6. ขนาดรูป Line: Rich Content

Rich Content คือ ลูกเล่นเพิ่มเติมของ LINE Official Account เป็นรูปภาพที่ดึงดูดให้เกิดการคลิกมากขึ้น โดยการออกแบบให้เป็นปุ่ม CTA ไปในตัว ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มยอด Conversion Rate ให้กับธุรกิจด้วยฟังก์ชันการใช้งาน 3 รูปแบบ ได้แก่

  • Rich Message: เพิ่มความน่าสนใจให้กับข้อความใน Chat ด้วยการส่งข้อความพร้อมรูปภาพที่เป็น CTA ลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการ
  • Rich VDO: เปลี่ยนการนำเสนอด้วยรูปแบบวิดีโอแบบเต็มหน้าจอแชต เมื่อทำการบรอดแคสต์
  • Rich Menu: เพิ่มความสวยงามให้กับหน้าจอแชต ลดเวลาในการถาม-ตอบ รวมถึงส่งเสริมการโปรโมตของแบรนด์ด้วยการใช้ฟีเจอร์นี้

ขนาดรูปภาพ Line ใน Rich Content ต่างๆ

  • Rich Message ขนาด 1040×1040 px (สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1:1) – Rich Message ในรูปแบบของรูปภาพ ที่สามารถส่งในแชตให้กับลูกค้าโดยตรง อีกทั้งยังแทรกลิงก์ลงไปในภาพได้อีกด้วย แต่ต้องมีขนาดไฟล์ไม่เกิน 10 mb และรองรับเฉพาะ JPG และ PNG โดยจะมีเทมเพลตให้ใช้งานได้มากถึง 8 รูปแบบ ดังนี้

เข้าไปสร้าง Template ได้ที่ : https://lineforbusiness.com/richmessagemaker/

  • Rich VDO ขนาด 1200×628 px (แนวนอน 16:9) – เป็นขนาดวิดีโอแบบเต็มหน้าจอของสมาร์ทโฟน ตามตัวอย่างดังนี้

เข้าไปสร้าง Template ได้ที่ : https://lineforbusiness.com/richmessagemaker/

  • Rich Menu ปุ่มเมนูด้านล่างของแชต ใช้งานได้หลากหลาย ตามที่ผู้ใช้กำหนด ซึ่งจะมีวิธีการสร้างได้หลากหลาย หากอยู่ในรูปแบบที่ไม่ต้องเขียนโค้ด จะแบ่งขนาดออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
    • Line Rich Menu (Large) ใส่ได้สูงสุด 6 ภาพ

    • Line Rich Menu (Small) ใส่ได้สูงสุด 3 ภาพ

เข้าไปสร้าง Template ได้ที่ :https://lineforbusiness.com/richmenumaker/

ขอบคุณที่มา: www.contentshifu.com

การทำคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มของ LINE มีหลากหลายรูปแบบให้เลือก ซึ่งแต่ละรูปแบบนั้นก็จะมีขนาดภาพที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ จะเลือกใช้คอนเทนต์แบบไหน จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับความต้องการในการสื่อสารเช่นกัน

หรืออยากใครต้องการ Digital marketing agency ไว้เป็นที่ปรึกษาเรื่องการตลาดออนไลน์ สามารถทักมาหา MarketingGuru ได้เลยน้า

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

E-mail: contact@marketingguru.io

MG-JAN-Banner-1

เตือนภัย! มิจฉาชีพออนไลน์ รูปแบบใหม่บน Meta

มิจฉาชีพในโลกออนไลน์ มีให้เห็นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ซึ่งหลายเพจ โดนกระทำในรูปแบบของการส่งข้อความ โดยแฝงตัวเป็นบุคคลหรือทีมงานจาก Meta และแจ้งข้อมูลว่า บัญชีของเราผิดนโยบาย หรือกำลังจะถูกระงับหากไม่ติดต่อกลับ โดยนั่นเป็นกลลวงสแปม ที่จะทำให้เราพลาดติดกับดักของผู้ร้ายเหล่านั้นได้ง่าย

ในบทความนี้ จะขอแนะนำวิธีการสังเกตสแปมดังกล่าว พร้อมตัวอย่างการส่งข้อความผ่าน Messenger เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการโดนมิจฉาชีพหลอกลวงได้ค่ะ

วิธีการสังเกตข้อความสแปมบน Facebook แบบเบื้องต้น

  • ใช้ชื่อหรือโลโก้ผู้ส่งที่น่าเชื่อถือ ในกรณีนี้ คือปลอมแปลงเป็นบุคคลของ Meta
  • ใช้คำให้รู้สึกถึงความเร่งด่วน เช่น แจ้งปัญหาต่างๆ และมักจะทิ้งท้ายว่า บัญชีจะถูกระงับ
  • แนบลิงก์ที่สะกดไม่ถูกต้อง อ้างอิงจากตัวอย่างที่แนบมา ถ้าสังเกตอย่างละเอียด คำว่า centrer จะสะกดผิด

ตัวอย่างข้อความสแปมที่อ้างว่าติดต่อมาจาก Meta

จากตัวอย่างข้อความสแปม จะเห็นว่าผู้ที่ทักเข้ามา จะแอบอ้างเป็น Meta ซึ่งหากไม่สังเกต อาจจะทำให้หลงกลได้ง่าย ด้วยการใช้ภาพ โปรไฟล์ หรือแม้แต่ข้อความอีกด้วย

และหากพิจารณาลึกลงไปกว่านั้น จะเห็นเนื้อหาข้อความที่มีการให้ใส่รหัสอ้างอิง และลิงก์เพื่อขอความช่วยเหลือ นั่นทำให้หลงเชื่อได้ง่ายกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ ลิงก์ดังกล่าวที่แนบมานั้น ห้ามคลิกเด็ดขาด เพราะเราไม่รู้ได้เลยว่า ปลายทางของลิงก์ดังกล่าวนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งสแปม หรือการดาวน์โหลดไฟล์ลงเครื่องอัตโนมัติ

หมายเหตุ: การส่งข้อความสแปม มีด้วยกันหลากหลายแบบ ซึ่งตัวอย่างข้างต้น เป็นแบบที่พบเจอบ่อย ซึ่งจริงๆแล้ว มิจฉาชีพอาจจะส่งข้อความมาในรูปแบบอื่นได้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น หากเจอการกระทำดังกล่าว ควรลบข้อความสแปมนั้นทิ้งทันที และห้ามคลิกลิงก์ที่แนบมา เพื่อความปลอดภัย และป้องกันการโดนแฮก

วิธีเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน Facebook 

  • เปิดการยืนยันตัวตน 2 ชั้น
  • ใช้รหัสผ่านที่คาดเดายาก และไม่ซ้ำกันในแต่ละแพลตฟอร์ม
  • ทำการอัปเดตรหัสผ่านอยู่เรื่อยๆ เช่น เปลี่ยนทุกๆ 3 เดือน
  • สังเกตกลุ่มที่เข้าร่วม หากมีการส่งสแปม ให้ออกจากกลุ่มนั้นทันที
  • สังเกตทุกครั้งที่มีการทักมาทาง Messenger เพราะต่อให้เป็นเพื่อนกัน อาจจะเป็นสแปมที่โดนแฮกแล้ว
  • อย่าหลงเชื่อโพสต์ในรูปแบบข้อเสนอต่างๆ เช่น คลิกลงทะเบียนรับเงิน
  • ไม่ติดตั้งแอปพลิเคชันแปลกๆ ที่แนะนำให้โหลดด้วยคำชวนเชื่อเกินจริง เช่น ติดตั้งแล้วรวย
  • ไม่แชร์โพสต์ที่เสี่ยงเป็นสแปม

อันตรายมีอยู่ทุกที่ แม้แต่ในโลกออนไลน์ สิ่งสำคัญที่สุด คือการหมั่นสังเกตความผิดปกติของข้อความดังกล่าว รวมถึงลิงก์ที่แนบมา และการคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกครั้ง เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ที่อาจจะส่งผลต่อธุรกิจได้นั่นเอ

วิธีอินฟลูเอเนเซอร์ ให้เหมาะกับแต่ละแบรนด์

เลือกอินฟลูเอนเซอร์อย่างไรให้ตอบโจทย์

วิธีอินฟลูเอเนเซอร์ ให้เหมาะกับแต่ละแบรนด์

อินฟลูเอนเซอร์ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวงการที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอิทธิพลต่อผู้ใช้งานในแต่ละแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram โดยเฉพาะแอปพลิเคชันอย่าง TikTok ที่กำลังมาแรงมากๆ เกิดเป็นอาชีพเลยทีเดียว สาเหตุที่แบรนด์ต่างๆ เลือกที่จะจ้างเหล่าอินฟลู ก็เพื่อเพิ่ม Brand awareness ของสินค้าตนให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นรวมทั้งโปรโมชั่นต่างๆ ตัวอย่าง เช่น แบรนด์ Adidas ที่ต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นมากขึ้น พบว่าการใช้การตลาดแบบ Influencer นั้นประสบความสำเร็จถึง 70% ในแอปอินสตาแกรม เห็นได้ว่ากลยุทธ์ Influencer Marketing อาจมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคสนใจหรือซื้อสินค้ามากขึ้น หากยังไม่รู้ว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยให้เลือกอินฟลูฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาคำตอบจากบทความนี้ได้เลย

วิธีเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้ตอบโจทย์

บางครั้งการจ้างอินฟลูเอนเซอร์อาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง และไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่ตั้งเป้าไว้ เพื่อให้เป้าหมายทางการตลาดประสบผลสำเร็จ ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการมองหาอินฟลูเอนเซอร์ มีดังนี้

1.ดูจาก location

หากคุณกำลังมองหาอินฟลูสำหรับโปรโมตด้านการท่องเที่ยวหรืออาหาร การส่องตาม location หรือ places ในแอปพลิเคชัน Instagram รวมทั้ง Facebook ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดี เพื่อดูว่ามีท่านไหนที่เช็คอินหรือแท็กสถานนี้นั้นแล้วได้รับความนิยมบ้าง มียอดผู้ติดตาม การมีส่วร่วม และไลฟ์สไตล์ตรงกับภาพลักษณ์แบรนด์หรือไม่

2. ส่องตาม Hashtag

นอกจากสถานที่แล้ว การส่อง Hashtag จะทำให้ทราบได้ว่าอินฟลูท่านนั้นเคยรับงานประเภทใด สินค้าตลาดเดียวกันกับที่ต้องการอยู่หรือเปล่า ช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาผลิตภัณฑ์ได้ง่าย โดยเฉพาะแบรนด์เครื่องสำอางค์ที่ผลิตสินค้าหลายประเภท ผู้ใช่งานยังสามารถเห็นภาพสินค้า วิธีการใช้งาน สไตล์การ represent สินค้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละท่าน เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมมากในการทำแคมเปญสินค้าใหม่อีกด้วย

3.กำหนดกลุ่มเป้าหมาย Demographics

ก่อนที่เริ่มต้นค้นหาอินฟลูฯ ให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการให้ชัดเจน โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ สถานที่ ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้หาอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามที่ใกล้เคียงกันกับกลุ่มเป้าหมายได้

4.กำหนดเป้าหมายการตลาด

พิจารณาเป้าหมายทางการตลาดของคุณสำหรับแต่ละแคมเปญ ว่ามีเป้าหมายแตกต่างกันอย่างไร เช่น ต้องการที่จะเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness) กระตุ้นยอดขาย (Sales) หรือสร้างโอกาสในการขายให้กับกลุ่มใหม่ๆ หรือไม่? การมีเป้าหมายทางการตลาดจะช่วยให้หาอินฟลูฯ ที่ตรงกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุได้ชัดเจนมากขึ้น

5.เลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะ

แม้จะเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์เหมือนกัน เชื่อหรือไหมว่าในแต่ละช่องทางโซเชียลมีเดีย ผู้บริโภคก็มีพฤติกรรมในการดูเนื้อหาที่แตกต่างกันไป รวมถึง ช่วงอายุ ในการใช้ระยะเวลาบนแพลตฟอร์มนั้นๆ ฉะนั้น ควรทำความเข้าใจเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เพื่อเลือกแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Instagram, YouTube, TikTok หรือ Twitter ก่อนที่จะเลือกหาในเหล่าอินฟลูฯ  ให้ตรงตามความต้องการ

6.ใช้เครื่องมือช่วย

มองหาเครื่องมือหรือผู้เชี่ยวชาญอย่างเอเจนซี่ในการหาอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี โดยสามารถกำหนดได้ว่าคุณให้ความสนใจกับอะไรบ้าง เช่น จำนวนผู้ติดตาม (Followers) อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement) คุณภาพเนื้อหา (Content Quality) และความสม่ำเสมอ (Consistency) ตัวอย่างเครื่องมือช่วยวิเคราะห์เมตริกประสิทธิภาพของอินฟลูฯ ได้แก่ Social Blade, BuzzSumo และ HypeAuditor

7.ประเมินการมีส่วนร่วมและการเข้าถึง

การเลือกวิธีใช้อินฟลูเอนเซอร์ ควรพิจารณาอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement) แบ่งออกเป็น like, share, comment หรือ view ซึ่งบ่งบอกถึงจำนวนผู้ชมที่ถูกวัดระดับการมีส่วนร่วมจากโพสต์ที่ผ่านมา เพื่อประเมินเบื้องต้นถึงผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการตลาดและกลุ่มเป้าหมายตามที่แบรนด์ต้องการ ตัวอย่างเช่น การใช้แมคโครอินฟลูเอนเซอร์อาจไม่ได้ผลดีเสมอไป เทียบกับไมโครอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตาม 10,000- 50,000 คน ไปจนถึงผู้ติดตามน้อยอย่างนาโน 1-10,000 คน อาจมีผู้ชมที่มีส่วนร่วมมากกว่าโดยเฉพาะ niche market

8.วิเคราะห์แนวเนื้อหา

เนื้อหาหรือแคปชั่นก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ แม้ว่าแบรนด์จะสามารถบรีฟหรือคิดเนื้อหาเองให้กับทางอินฟลูเอนเซอร์ แต่แต่ละแพลตฟอร์มก็มีอัลกอริทึ่ม (Algorithm) ไม่เหมือนกัน การที่เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าใจรูปแบบเนื้อหาที่ต้องผลิตจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของแพลตฟอร์มนั้นๆ หากอินฟลูฯ ท่านนั้นมีความสนใจสินค้าอย่างแท้จริงหรือเคยโปรโมตผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันมาก่อน มีผลให้ทำความเข้าใจหรือโปรโมตเนื้อหาที่สอดคล้องกับเทรนด์ ความต้องการ สื่อข้อความของแบรนด์ได้มากขึ้น และสะท้อนข้อความภาพลักษณ์แบรนด์ที่ถูกต้อง

9.ติดตามและวัดผล

ในระหว่างและหลังแคมเปญ ให้ติดตามประสิทธิภาพและวัดผลKPI เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ (traffic) คอนเวอร์ชั่น (conversion) การมีส่วนร่วม (engagement) และการกล่าวถึงแบรนด์ (Brand Mentions) การวิเคราะห์ความสำเร็จของแคมเปญที่ผ่านมาจะช่วยปรับกระบวนการคัดเลือกอินฟลูเอนเซอร์ได้ดียิ่งขึ้นสำหรับแคมเปญต่อไปในอนาคต

Influencer Marketing ที่เหมาะสมนั้นจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบหลักๆ ตั้งแต่กระบวนการหาอินฟลูเอนเซอร์ กลุ่มเป้าหมาย เนื้อหา ไปจนถึงแพลตฟอร์มที่ต้องการให้โปรโมต สิ่งสำคัญคือต้องติดตามและวัดผลในแต่ละกิจกรรมที่ผ่านมาเพื่อคอยพัฒนาประสิทธิภาพของแคมเปญ Marketingguru ยินดีให้บริการด้าน Influencer Marketing ในการหาอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับแบรนด์และวางแผนการตลาดเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

หากสนใจติดต่อเราได้ที่

Website: MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

Line: @marketingguru

โทร 02-381-9045

 

 

Social Media Marketing head picture

Social Listening Tool ในการทำ Online Marketing

Social Media Marketing head picture

Social Listening Tool กับประโยชน์แบบทวีคูณต่อ Online Marketing

การทำการตลาดออนไลน์ หรือ Online Marketing สิ่งสำคัญคือการ Research หรือหาข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการทำคอนเทนต์และโฆษณา รวมไปถึงการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และ KPI ในขั้นต่อไป ซึ่งตัวช่วย หรือเครื่องมือในการทำ เรามักจะใช้ Social Listening Tool ซึ่งพอพูดคำนี้ หลายๆคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร ดังนั้น ในบทความนี้จะมาเล่าเกี่ยวกับ Social Listening Tool ให้ฟังกันค่ะ

Social Listening Tool คืออะไร ?

Social Listening Tool คือ เครื่องมือทางการตลาด ที่ใช้สำหรับรวบรวมข้อมูลกิจกรรมต่างๆ ของผู้บริโภคที่อยู่บน Online ทั้งหมด เช่น Social Media, Blog, Website และช่องทางอื่นๆ เพื่อนำมาใช้ในการทำ Online Marketing

โดย Social Listening Tool ถือเป็นการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภค เช่น

  • พฤติกรรมการโพสต์คอนเทนต์
  • การคอมเมนต์
  • การใส่ Hashtag
  • การกดถูกใจ
  • การ Mention หาผู้อื่น

ประโยชน์ของ Social Listening Tool ในการทำ Online Marketing

1. ใช้ Social Listening Tool ในการวางแผน Online Marketing

การใข้ Social Listening Tool ในหลายๆช่องทาง สามารถนำพฤติกรรมของผู้บริโภคมาวิเคราะห์ เพื่อนำไปวางกลยุทธ์ทางการตลาด รวมไปถึงการหาโอกาสใหม่ๆ กลุ่มลูกค้าใหม่ ให้กับแบรนด์อีกด้วย รวมไปถึงการหาช่องทางที่เหมาะสม เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ หรือโฆษณา ผ่านคอนเทนต์ในช่องทางนั้นๆ

2. ใช้ Social Listening Tool ในการกำหนดวัตถุประสงค์

ก่อนจะเริ่มทำ Online Marketing แบรนด์หรือธุรกิจนั้นๆ ต้องมีจุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ก่อน เช่น สินค้าหรือบริการประเภทนี้ มีเพื่ออะไร ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างไร ซึ่งการใช้ Social Listening Tool ถือเป็นการรวบรวมข้อมูลของลูกค้า และนำมา Match รวมกันกับวัตถุประสงค์ของแบรนด์ ว่าเข้ากันหรือไม่ หรือหากสุดท้ายแล้ว วัตถุประสงค์นั้น ไม่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่วางไว้ การลองปรับ Purpose เพื่อให้เข้ากับ Lifestyle ลูกค้ามากขึ้น ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่ทำให้แบรนด์ได้เรียนรู้จากการใช้ Social Listening Tool นั่นเอง

3. ใช้ Social Listening Tool ในการหาไอเดียหรือนวัตกรรมใหม่ๆ

ผู้บริโภคบางกลุ่ม มักใช้ช่องทาง Social Media ในการบ่น หรือระบายสิ่งที่ตนไม่พอใจ ซึ่งข้อความเหล่านี้ ถือเป็นสิ่งที่นักทำ Online Marketing ต้องการ เพราะจะได้นำปัญหาเหล่านั้น มาปรับใช้ให้เข้ากับแบรนด์ รวมไปถึงนำปัญหาเหล่านั้น มาคิดค้นโซลูชัน หรือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์กับผู้บริโภคได้แบบแท้จริงนั่นเองค่ะ

4. ใช้ Social Listening Tool ในการสื่อสาร

ในปัจจุบัน โลกออนไลน์เป็นช่องทางที่เข้าถึงง่าย แบรนด์ควรใช้ช่องทางนี้ ในการพูดคุยสื่อสารกับลูกค้า ทั้งตอบคำถามที่ลูกค้าเกิดความสงสัย รวมถึงพูดคุยซักถามถึงสินค้าหรือบริการของตนเอง ถือเป็นการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง แถมยังได้ข้อมูลในการนำไปพัฒนาปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดีขึ้นด้วยนะ

5. ใช้ Social Listening Tool ในการพัฒนาแบรนด์

เชือว่าแทบทุกธุรกิจ จะต้องมีช่องทางขายหรือสื่อสารกับลูกค้าออนไลน์กันแล้ว ดังนั้น เราควรใข้ช่องทางนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การโพสต์คอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้าอยู่เสมอ, การคอมเมนต์ตอบคำถามลูกค้า, การ Feedback ลูกค้า เป็นต้น

6. ใช้ Social Listening Tool ในการดึงดูดลูกค้า

เราจะทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าได้อย่างไร? แน่นอนว่า เมื่อโลกออนไลน์มันเข้าถึงง่าย เราก็ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ไปเลย ทั้งการสร้างภาพลักษณ์, จุดเด่น เพื่อให้เกิดการจดจำ รวมไปถึงการสร้างคอนเทนต์ต่างๆแบบ Storytelling เพื่อให้แบรนด์มีเรื่องราวอีกด้วย

Social Listening Tool ถือเป็นช่องทางดีๆ ที่เหล่านัก Online Marketing ควรศึกษา และนำข้อมูลในส่วนนี้มาวิเคราะห์ นอกจากจะทำให้ได้ข้อมูลไปพัฒนาแบรนด์แล้ว ยังถือเป็นการกระตุ้นรายได้อีกด้วยนะคะ

หรือหากใครกำลังมองหา Digital Marketing Agency อยู่ MarketingGuru มีบริการการตลาดออนไลน์แบบครบวงจรเลยน้า หากสนใจ อย่าลืมทักทายเข้ามานะคะ

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

Line: @marketingguru

โทร 02-381-9045

Line Openchat

โฆษณา Line Openchat สร้างรายได้จาก Line LAP

Line Openchat

Line เป็น Chat Platform ที่ใหญ่ที่สุด และได้รับความนิยมสูงสุดด้วยเช่นกัน ทำให้มีหลากหลายฟีเจอร์ เช่น Line Openchat ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานออนไลน์ จึงทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่ นิยมใช้ช่องทางนี้ ในการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า และสร้างรายได้อีกด้วย

Line Openchat คืออะไร ?

คือห้องแชทขนาดใหญ่ ที่เปิดกว้างให้ผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูล จึงทำให้ธุรกิจเลือกที่จะใช้ฟีเจอร์นี้ เพื้อเป็นกลุ่มในการอัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับร้านค้า ทั้งสินค้า และโปรโมชัน ซึ่งสามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงกลุ่มได้ 3 แบบ คือแบบสาธารณะ, ใช้รหัสเข้าร่วม และขอสิทธิ์การเข้าร่วมจากผู้ดูแล ซึ่งจะแตกต่างจาก Line Group ในส่วนที่ LINE Open Chat จะมีผู้ดูแลที่สามารถจัดการสมาชิกได้ 

และด้วยฟีเจอร์ LINE Open Chat ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Line ได้มีการเพิ่มช่องทางในการสร้าง Line Ads ผ่าน LINE Open Chat ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของ Line LAP (Line Ads Platform)

การทำ Line Ads ผ่าน LINE Open Chat เป็นอย่างไร ?

การทำ Line Ads ผ่าน ไลน์โอเพนแชท จะเป็นการทำแถบป้ายโฆษณาในรูปแบบของข้อความที่ไม่ได้อ่าน ซึ่งจะเป็นรูปแบบของรูปภาพหรือแถบโฆษณา โดยระบบจะแสดง Line Ads ให้เห็นเฉพาะคนคนนั้นเท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้อื่นในห้อง ซึ่งหากบุคคลนั้นได้เห็น Line Ads นี้ไปแล้ว โฆษณาดังกล่าวจะหายไปจากการแสดงผลของบุคคลนั้นทันที

โดยโฆษณาสินค้าต่างๆ จะครอบคลุมทุกห้องใน ไลน์โอเพนแชท โดยแบ่งแยกตามประเภทของห้องนั้นๆ และเน้นการยิงโฆาณาไปในห้องที่มีการพูดคุยหรืออัปเดตกันมากกว่า 40% นั่นเอง 

การทำ Line Ads ผ่าน LINE Open Chat สามารถเลือกวัตถุประสงค์อะไรได้บ้าง ?

ต่อให้การทำการตลาดออนไลน์ผ่าน ไลน์โอเพนแชท จะเป็นการแสดงโฆษณาเพียงไม่นาน แต่ก็มีตัวเลือกวัตถุประสงค์มากมาย ได้แก่..

การเข้าชม Website, การกดเข้าชม Video, การติดตั้งแอปพลิเคชัน, การกดเพิ่มเพื่อนใน Line OA, การเพิ่ม Website Conversion, การเพิ่มการมีส่วนร่วมในแอปพลิเคชัน

การทำ Line Ads ผ่าน LINE Open Chat มีข้อดีอย่างไร ?

การทำ ไลน์โอเพนแชท จะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ตรงกับสินค้าได้อย่างตรงจุด หากกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่สนใจหรือซื้อขายสินค้าแบบใด จะแสดงเฉพาะโฆษณาแบบนั้น ซึ่งทำให้ธุรกิจสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องมีการลองผิดลองถูก และการทำโฆษณารูปแบบนี้นั้น จะไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น เพราะจะแสดงเฉพาะผู้ที่ยังไม่เห็นนั่นเอง

 นอกจากนี้ยังเป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ร้านค้าออนไลน์หรือผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกัน อัปเดตข่าวสารต่างๆ ดังนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจ ในการทำโฆษณาออนไลน์ โดยผ่าน Line Ads เพื่อสร้างการรับรู้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงวัตถุประสงค์ต่างๆอีกมากมาย แถมยังเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดอีกด้วย แบบนี้ต้องลองนะคะทุกคน

อยากทำ Line Ads หรือโฆษณาออนไลน์รูปแบบอื่นๆ สามารถทักทายมาหา MarketingGuru ได้เลยน้าาา ยินดีให้บริการค่า

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

Line: @marketingguru

โทร 02-381-9045

วิธีเขียน Content ในส่วน Digital Marketing

วิธีเขียนคอนเทนต์เรียก Engagement บน Facebook

วิธีเขียน Content ในส่วน Digital Marketing

คำว่า ‘Engagement’ ถือเป็นอีกหนึ่งคำที่สาย Digital marketing รวมถึงสาย Content marketing คุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่ง Engagement ถือว่ามีความสำคัญในการเขียนคอนเทนต์ รวมไปถึงการยิงโฆษณาออนไลน์ ซึ่งจะนิยมใช้ใน Facebook มากกว่าช่องทางอื่นๆ

Engagement ถือเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์ตั้งแต่การเขียนคอนเทนต์ ไปจนถึงการสร้างโฆษณา ซึ่งหมายถึงการมีส่วนร่วม ทั้งการกด Like, Share, Comment การคลิกดูรูป และทุกอย่างที่เป็นการกระทำต่อคอนเทนต์นั้นๆ ซึ่งหากเราสามารถเขียนคอนเทนต์ให้เกิด Engagement เยอะๆได้ จะถือเป็นการเพิ่มการเข้าถึงและการมองเห็นโพสต์นั้นๆของเรา ให้แสดงให้หน้าฟีดและ Timeline มากขึ้นค่ะ 

แล้วต้องทำ Content Marketing แบบไหน ถึงจะเพิ่มยอด Engagement วันนี้ เรามีทริคมาฝากกันค่ะ

  •  เขียนคอนเทนต์แบบให้ความรู้

การนำเสนอคอนเทนต์แบบให้ความรู้ จะได้รับการมีส่วนร่วมมากกว่าการเขียนคอนเทนต์ขายแบบตรงๆ เพราะเมื่อผู้ชมอ่านแล้วรู้สึกชอบ และเห็นว่ามีประโยชน์ จะรู้สึกอยากกด Like & Share ค่ะ 

อย่างที่บอกไปเลยค่ะ ว่า Engagement คือการมีส่วนร่วมกับโพสต์ของเราในทุกๆรูปแบบ หากเราเขียนคอนเทนต์ในรูปแบบของ Album post จะทำให้เกิดการอยากกดดูภาพต่อไป นั่นแหละค่ะ อีกหนึ่ง Engagement ที่สร้างได้จากอัลบั้มเลยล่ะ

เทรนด์วิดีโอแบบสั้น ยังคงเป็นคอนเทนต์ที่เข้าถึงผู้คนได้ง่ายเสมอ และด้วยข้อมูลในส่วนนี้ ทำให้เหล่า Content Creator เองก็สามารถนำมาประยุกต์ให้เข้ากับรูปแบบคอนเทนต์ของตนได้ ประกอบกับจะต้องเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จะทำให้ความต้องการอยากคลิกชมของผู้ที่พบเห็นมีเยอะ ส่งผลให้ยอด Engagement เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันค่ะ

  • เขียนคอนเทนต์แบบคำถาม ชวนให้คอมเมนต์

ในบางครั้ง คอนเทนต์เองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นภาพกราฟิก หรือวิดีโอที่สวยและตัดต่อแบบมืออาชีพ การตั้งคำถามและชวนให้ผู้ที่พบเห็นแสดงความคิดเห็น ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะเพิ่ม Engagement ได้แบบไม่ยาก แต่จะต้องเป็นประเด็นที่น่าสนใจ และสามารถคอมเมนต์ได้แบบปลายเปิดนะคะ ไม่มีขอบเขตของคำตอบที่ถูกต้อง แบบนั้นจะยิ่งสร้างการมีส่วนร่วมได้แบบไฟลุกเลยค่ะ

  • สร้าง Content Marketing แบบ Real time

การเขียน Real time content ต่อจะให้เป็นสิ่งที่มาไวไปไว แต่เพียงแค่ช่วงสั้นๆ เราก็ไม่ควรปล่อยผ่านนะคะ หากเรานำเทรนด์มาเล่นให้น่าสนใจ จากเพียงแค่กระแสในระยะเวลาสั้นๆ อาจจะส่งผลให้ผู้ชมติดตามเราแบบระยะยาวได้เลยนะ 

  • การเลือกเวลาโพสต์ให้ถูก

เวลาโพสต์เองก็สำคัญต่อการทำคอนเทนต์เช่นกัน หากเราเลือกเวลาที่กลุ่มเป้าหมายกำลังใช้งานอยู่ ณ ขนาดนั้น อาจจะสร้างการมองเห็นและเข้าถึงได้มากกว่าเวลาอื่นๆ ซึ่งต้องบอกว่า เวลาโพสต์ที่เหมาะสม ในแต่ละเพจและแต่ละธุรกิจเองก็แตกต่างกัน แนะนำว่าลองโพสต์เวลาให้หลากหลาย แล้วค่อยวิเคราะห์จากข้อมูลเชิงลึกอีกครั้งดีกว่าค่ะ

  • เขียนคอนเทนต์ดีไม่พอ ต้องสม่ำเสมอด้วย 

วิธีนี้จะส่งผลดีต่อการรักษากลุ่มผู้ติดตามเดิม หากอยู่ๆ ธุรกิจไม่ได้ทำการอัปเดตเป็นเวลานาน นอกจากจะส่งผลต่อการมองเห็นในการกลับมาอัปเดตใหม่แล้ว ยังส่งผลต่อจำนวนผู้ติดตามที่อาจจะลดหายไปด้วย ดังนั้นการโพสต์อย่างสม่ำเสมอ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งค่ะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องกับ Content Marketing เพิ่มเติมได้เลย

🔸 ทำไมการทำ Content จึงจำเป็นกับ Digital marketing agency

การสร้าง Content Marketing เรียกยอด Engagement ถือเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดคุณภาพคอนเทนต์ได้ดีเลยค่ะ หากเราเขียนคอนเทนต์ แล้วเกิดการมีส่วนร่วมเยอะ นั่นเป็นตัวบ่งบอกว่า คอนเทนต์ของเรามีความน่าสนใจ และเป็นที่พูดถึงของกลุ่มผู้ชม ทั้งนี้ ในแต่ละธุรกิจเอง ก็จำเป็นที่จะต้องทดลองโดยการโพสต์คอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ เพื่อวิเคราะห์ว่าคอนเทนต์เรื่องราวแบบไหน ถูกใจกลุ่มผู้พบเห็นมากที่สุด แล้วค่อยแทรกเทคนิคตามที่เรานำมาแบ่งปันไปข้างต้นค่ะ 🙂

Content Marketing ถือเป็นสิ่งที่ยังคงสำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์ทุกช่องทาง ไม่เพียงแค่ Facebook เท่านั้น หากธุรกิจใดสนใจ อยากเพิ่มช่องทางนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีสร้างรายได้ สามารถทักมาขอคำปรึกษาฟรีกับ MarketingGuru ได้เลยค่ะ 

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

Line: @marketingguru

โทร 02-381-9045

MG-Blog 5

ขายของออนไลน์ด้วย Line MyShop จาก Line OA

 

รู้จัก Line my shop ขายของออนไลน์ ฟีเจอร์น่าใช้จาก Line OA

ในยุคที่การขายของออนไลน์มาแรงแบบนี้ หลายๆร้านก็อาจจะมีช่องทางการขายที่แตกต่างกัน ทั้ง Facebook, Google, Instagram, Shopee, Lazada รวมไปถึงแอปพลิเคชันปิดการขายอย่าง Line OA ด้วย

 

Line OA ถือเป็นช่องทางขายของออนไลน์ ที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้ามากยิ่งขึ้น ถือเป็นช่องทางหลัก ที่ลูกค้าสามารถพูดคุยกับร้านค้า เพื่อทำการปิดการขาย ซึ่งปกติแล้วนั้น ลูกค้าจะต้องเลือกสินค้าจากช่องทางอื่นก่อน แล้วจึงคุยผ่านไลน์ในการซื้อ แต่จะดีกว่าไหมนะ.. ถ้าสามารถเลือกชมสินค้า แล้วสั่งสินค้าผ่านไลน์แบบที่จ่ายเงินแบบเสร็จสมบูรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องรอร้านค้าตอบได้เลย 

 

ฟีเจอร์ที่กำลังพูดถึงนี้คือ Line MyShop ค่ะ เครื่องมือจัดการร้านค้าแบบใหม่จาก LineOA ที่ทำให้การซื้อขายของร้านค้าและลูกค้าสะดวกมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

 

Line MyShop คืออะไร ?

Line MyShop คือฟีเจอร์จัดการร้านค้าแบบครบวงจร ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขายของออนไลน์ผ่านแชท LineOA ที่อำนวยความสะดวกให้เหล่าร้านค้าออนไลน์ ตลอดจนลูกค้า ได้สั่งซื้อ จ่ายเงิน ติดตามสถานะการส่งของตลอดจนได้รับของ ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเครื่องมือนี้นั้นสามารถใช้งานได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ถือเป็นการเพิ่มช่องทางขายของออนไลน์อีก 1 ช่องทางด้วยนะคะ

 

ความสัมพันธ์ของ Line MyShop และ LineOA

การที่จะใช้งานฟีเจอร์ Line MyShop ได้นั้น ร้านค้าจะต้องมีบัญชีของ LineOA ก่อน ซึ่งสามารถเข้าดูวิธีการติดตั้งได้ที่ วิธีการติดตั้ง Line OA จากนั้นจึงค่อยเปิดใช้งาน Line MyShop ที่เว็บไซต์ของ Line MyShop ค่ะ

ข้อควรจำ: Line MyShop จะต้องติดตั้งผ่านคอมพิวเตอร์เท่านั้นน้า

 

ฟีเจอร์สำคัญของ Line MyShop มีอะไรบ้าง

1 . จัดการออเดอร์ให้ลูกค้าได้ในแชท

ลูกค้าไม่จำเป็นต้องรอร้านค้าตอบแชทแล้วสรุปออเดอร์อีกต่อไป เพราะ Line MyShop สามารถสรุปออเดอร์พร้อมยอดที่ต้องชำระ พร้อมให้ลูกค้าจ่ายและแนบสลิปโอนเงินได้เลยทันที

 

2. รายงานทุกสถานะการสั่งซื้อ

ระบบภายใน Line MyShop จะรายงานสถานะการสั่งซื้อผ่านแชท Line แบบอัตโนมัติ ตั้งแต่ร้านค้าได้รับออเดอร์, รับชำระเงิน จนถึงส่งเลขพัสดุ ส่วนฝั่งร้านค้า ก็ได้รับแจ้งเตือนอัตโนมัติเช่นกัน แต่จะเป็นในกรณีที่ลูกค้ามีการชำระเงินเข้ามาเท่านั้นค่ะ

 

3. จัดการแค็ตตาล็อกและสต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์

จัดการปัญหาการนั่งเช็กและสรุปสต๊อกสินค้าเอง แถมยังสามารถเลือกสินค้าในหน้าแค็ตตาล็อกเพื่อสร้างบิลออนไลน์ได้ในระหว่างแชทกับลูกค้าได้อีกด้วย ส่วนลูกค้า ก็สามารถเห็นรายการสินค้าทั้งหมดผ่านจากหน้า Page ของ Line MyShop ได้ด้วยเช่นกัน

 

4. ใบแปะหน้ากล่องพัสดุที่ไม่ต้องทำเอง

Line MyShop สามารถพริ้นต์รายละเอียดการสั่งซื้อ และที่อยู่จัดส่ง โดยร้านค้าไม่จำเป็นต้องเขียนหรือพิมพ์จ่าหน้ากล่องเอง ถือว่าเป็นการกันข้อมูลผิดพลาดได้อีกด้วยค่ะ

 

5. ระบบรายงานพร้อมเก็บสถิติร้านค้า 

รายงานสถิติทุกอย่างไว้ให้แม่ค้าออนไลน์ ทั้งสินค้าคงคลัง รายงานสั่งซื้อ ฯลฯ เพื่อให้ร้านค้านำข้อมูลส่วนนี้ไปวิเคราะห์และวางแผนขายของออนไลน์ในอนาคต โดยไม่ต้องบันทึกข้อมูลเองค่ะ

 

Line MyShop เป็นฟีเจอร์ที่ใช้งานฟรีผ่าน LINE OA ซึ่งจะยังมีข้อจำกัดอยู่ ในเรื่องของจำนวนผู้ติดตามร้านค้า แม่ค้าออนไลน์อาจจะต้องซื้อแพ็กเกจที่เหมาะสมกับขนาดของร้านค้า เพื่อจะได้ใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ

 

การขายของออนไลน์ ต่อให้จะเป็นช่องทางการขายที่มาแรงก็จริง แต่ถ้าหากเราไม่รู้จักการใช้หรือจัดการในแต่ละช่องทาง ก็อาจจะส่งผลต่อการขาย รวมถึงรายได้ด้วยนะคะ การใช้ Line MyShop ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางขายของออนไลน์ ที่จะช่วยจัดการขายให้ง่ายและสะดวกทั้งต่อร้านค้าและลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพในการขายได้ด้วยเช่นกันค่ะ

 

หากใครหรือธุรกิจใด ต้องการเพิ่ม Line MyShop เป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดออนไลน์ แล้วอยากได้ที่ปรึกษาไว้เป็นพาร์ทเนอร์คู่ใจ อย่าลืมนึกถึง MarketingGuru นะคะ เราพร้อมให้บริการการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร เพื่อช่วยให้ธุรกิจสร้างยอดขายและรายได้ตามที่ต้องการค่ะ

 

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io
Line: @marketingguru

โทร 02-381-9045

MG-Blog 4

สร้างแบรนด์ดัง ปังด้วยคอนเทนต์ TikTok

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่มาแรงในตอนนี้คือ Tik Tok ซึ่งเป็นแอปฯที่นำเสนอคอนเทนต์ในรูปแบบของ VDO แบบสั้น ที่มีประเภทคอนเทนต์ที่หลากหลาย ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนรู้จักเจ้านี่ดีกันอยู่แล้ว แล้วรู้กันมั้ยคะ ว่าการทำคอนเทนต์บนช่องทางนี้ จะต้องมีเคล็ดลับหรือ How to สู่การเป็นดาว TikTok อย่างไร.. 

วันนี้จะมาแชร์ทริคเล็กๆในการปั้นคอนเทนต์ให้เด่นดังจนปังสู่การดาวกันค่ะ

ก่อนอื่นขอเท้าความก่อนเจ้าแอปฯนี้ จะเน้นคลิปวิดีโอสั้น 1 และ 3 นาที และที่สำคัญคอนเทนต์ TikTok จะทำให้ครีเอเตอร์นั้นๆโด่งดังขึ้นมาได้ไม่ยากเลยค่ะ (หรือที่ในทุกวันนี้เรียกกันว่า TikToker)

ทริคปั้นคอนเทนต์ TikTok ที่ใครเห็นจะไม่กดออกจากแอปฯแน่นอน มีดังนี้..

  1. สั้น กระชับ เข้าใจง่าย

เนื่องจากมีเวลากำหนด ดังนั้นควรนำใจความหรือประเด็นหลักอยู่ในช่วง ไม่ยืดเยื้อ และจบให้ไว สิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง คือการทำเนื้อหายาวเกินไปแล้วต้องให้คนไปติดตามในคลิปต่อไป ถ้าทำแบบนี้เนี่ย ต้องมั่นใจว่า คอนเทนต์ TikTok ของเราดีจริงๆนะ เพราะคนส่วนใหญ่ที่เล่น TikTok จะชอบดูคลิปนี้แล้ว ปัดไปดูคลิปต่อไปทันทีมากกว่า จำไว้ว่า ทำให้จบในคลิปเดียว จะดีที่สุดค่า

  1. ทำคลิปแนวตั้ง

อันนี้เหมือนเป็นสิ่งที่ ‘ต้องทำ’ มากกว่า ‘ควรทำ’ ส่วนใหญ่แล้ว คนที่ทำคอนเทนต์ TikTok เป็นคลิปแนวนอนนั้น จะเป็นการเอาคลิปที่เคยลง YouTube มาใส่ในแอปฯนี้อีกทีมากกว่า ซึ่งจะทำให้คลิปนั้นมีสัดส่วนที่เล็กเกินไปนั่นเอง

  1. สร้างคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน

ไม่ว่าคุณอยากจะเฉิดฉายบนแพลตฟอร์มไหน คาแรกเตอร์ เป็นสิ่งที่ต้องมี! โดยใช้คารแรกเตอร์นี่แหละ มานำเสนอผ่านคอนเทนต์ของเรา เช่น เน้นแนวสนุกสนาน, ทำคอนเทนต์เป็นละคร, หรือเน้นการเล่าเรื่องไปเลย ซึ่งการมีคาแรกเตอร์นี้ จะช่วยทำให้ผู้ชมจดจำเราได้ง่าย และนำไปสู่การติดตามจนเป็นดาวนั่นเอง

  1. ใช้ดนตรีและ Hashtag

การทำ Content TikTok นี่ทำให้เพลงดังมากแล้วหลายเพลงเชียวน้าาา เพราะครีเอเตอร์มักเลือกมาใส่ในคลิปนั่นแหละะะะ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเลือกเพลงอะไรมาใส่ก็ได้นะคะ อาจจะต้องดูว่าเข้ากับคอนเทนต์ของเราด้วยหรือไม่ 

การใช้ Hashtag ก็มีผลต่อผู้เล่น TikTok เหมือนกัน เพราะเป็นเหมือนศูนย์รวมที่ทำให้เราค้นหาคลิปได้ง่าย ยิ่งหาก hashtag นั้นกำลังเป็นที่พูดถึง ก็จะทำให้คลิปของคุณเป็นที่รู้จักได้ง่ายเช่นกัน

  1. ไม่ถ่ายทำดีเกินไป

อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ว่า TikTok เป็นช่องทางที่ใช้คอนเทนต์สร้างชื่อเสียง ไม่เกี่ยวกับเทคนิคการตัดต่อ หรือโปรดักชันแบบเล่นใหญ่เลยนะ อีกอย่างคือ หากเราถ่ายทำดีเกินไปนั้น อาจจะทำให้ผู้ชมคิดว่านี่เป็น VDO โฆษณา ที่ไร้ซึ่งความเรียล จริงๆแล้ว คนที่เล่น TikTok นั้น ต้องการเสพความเรียล ความสดใหม่ ดังนั้น เน้นคุณภาพของคอนเทนต์ดีกว่าการตัดต่อและถ่ายทำจะดีกว่าค่ะ

  1. ไม่ขายตรง

จากข้อ 5. ที่บอกว่าคนเล่น TikTok ชอบเสพความเรียล และความเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่าหากใส่โฆษณาหรือแทรกขายแบบตรงๆ (ที่เน้นยิ่งกว่าคอนเทนต์หลัก) อาจจะทำให้คนปัดเลื่อนหนีก็เป็นได้ แต่เราสามารถใช้แทรกขายได้นะคะ แต่อาจจะต้องมีเทคนิคหรือช่วงแทรกนิสนุงงง ไม่ใช่เน้นเป็นการขายจ๋าไปเลยค่ะ

การทำคอนเทนต์ในทุกช่องทาง จะทำออกมาอย่างไรนั้น ให้มองว่าถ้าเราเป็นคนดู เราชอบแบบไหน คอนเทนต์ TikTok ก็เช่นกัน ลองสมมติหรือลองเล่น TikTok เอง แล้วถามตัวเองกลับว่าเราชอบดูคลิปแบบไหน จะทำให้เราเข้าใจ และสร้างสรรค์คอนเทนต์ออกมาถูกใจคนดูที่สุดค่ะ 

การตลาดออนไลน์มีเยอะไปหมดดดดด อยากมีเพื่อนคู่คิด มิตรแท้ธุรกิจในยุคนี้ล่ะก็.. ต้องมี MarketingGuru แล้วมั้ยยยย คิดจะทำการตลาดออนไลน์ อย่าลืมให้เราดูแลนะค้า

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

Line: @marketingguru

E-mail: contact@marketingguru.io

MG-Blog-April-7

ทำการตลาดออนไลน์ ต้องปล่อยโปรโมชัน 3 เวลานี้

การทำการตลาดออนไลน์หรือ Online Marketing สิ่งที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้ คงหนีไม่พ้นการสร้างโปรโมชัน ซึ่งปัญหาของเหล่านักการตลาดออนไลน์ที่ทำโปรโมชัน คือมักจะมีแค่ช่วงเวลาปล่อยโปร กล่าวคือไม่ได้มีช่วงอื่นของโปรโมชันเลย ซึ่งจริงๆแล้ว การมีช่วงเวลานี้เพียงอย่างเดียว อาจไม่ได้ทำรายได้ได้ดีเท่าที่ควร เพราะลูกค้าหลายๆคนไม่ได้มีการเตรียมพร้อมที่จะจ่ายเงินในวันและเวลานั้นได้อย่างทันที 

ซึ่งหากอยากทำการตลาดออนไลน์ ด้วยการปล่อยโปรโมชันนั้น ควรมีมากกว่าช่วงเวลาปล่อยโปร โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาดังต่อไปนี้

  1. ช่วง PR ให้ลูกค้าเตรียมตัว

ไม่ว่าจะเป็นการประกาศบอกให้กลุ่มเป้าหมายได้เตรียมสั่งจอง เตรียมกดสินค้าใส่ตะกร้า หรือเตรียมกดส่วนลด ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ช่วงนี้ถือเป็นช่วงสำคัญ เพราะถือเป็นการประกาศบอกให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ ว่าเรามีโปรโมชันวันไหน ช่วงเวลาไหน

ซึ่งหากเราไม่มีช่วงนี้ แล้วข้ามไปช่วงปล่อยโปรโมชันเลย จะได้ผลน้อยกว่า เพราะไม่ใช่ลูกค้าทุกคน ที่จะเห็นโปรแล้วพร้อมโอนในตอนนั้น

ช่วงนี้กลุ่มนักการตลาดออนไลน์ ควรคาดหวังยอดจอง หรือยอดกดสินค้าลงตะกร้ามากกว่ายอดสั่งซื้อ เพราะหากมียอดจองมากเท่าไหร่ ทำให้เห็นว่าการประชาสัมพันธ์ของเราดีมากเท่านั้น ถือว่าเราทำ Online Marketing ประสบผลสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

หรือหากธุรกิจไหน มองว่าการทำ PR แบบ Organic Post ไม่เพียงพอต่อการรับรู้ ก็สามารถใช้การโฆษณาได้ เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ให้กว้างขึ้น และสร้างการประชาสัมพันธ์แบบ Online Marketing ในวงกว้างมากขึ้นเช่นกัน

  1. ช่วงเวลาโปรโมชันที่กระชับ

ช่วงโปรโมชันไม่ควรยาวเกินไป เราสามารถจำกัดช่วงโปรโมชันแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยังได้ รวมถึงข้อเสนอเองก็มีความสำคัญ เช่น มีจำนวนจำกัด ตั้งแต่เวลานี้ถึงเวลานี้เท่านั้น

การที่เรามีช่วง PR ให้ลูกค้าเตรียมตัวไปแล้ว ทำให้ช่วงนี้ ลูกค้าแค่ทำการกดยืนยัน แล้วจ่ายเงินได้เลย เพราะมีการจองหรือกดสินค้าใส่ตะกร้าไว้แล้วนั่นเอง

  1. ช่วงเก็บตก ให้ผู้ที่นกโปรโมชัน

ช่วงนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน ต่อให้เราจะมีช่วง PR ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ทุกคนสนใจซื้อสินค้าทันในช่วงนั้น เราควรมีข้อเสนอดีๆ รองรับคนที่พลาดโปรโมชันไว้ในช่วงเก็บตก อาจจะไม่ใช่เป็นโปรใหญ่เท่ากับช่วงโปรโมชัน แต่ก็เป็นข้อเสนอที่ดีรองลงมา ถือเป็นการทำการตลาดออนไลน์ในอีกรูปแบบหนึ่ง

การทำโปรโมชันทั้ง 3 ช่วงนี้ ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการทำการตลาดออนไลน์ ที่ได้ผลลัพธ์มากกว่าการมีช่วงปล่อยโปรโมชันเพียงอย่างเดียวแน่นอน เพราะนอกจากลูกค้าจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่ามีโปรโมชันตอนไหน เรายังทำรายได้จากลูกค้าที่ไม่ทันช่วงโปรโมชันได้อีกด้วย

การทำโปรโมชัน ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของการตลาดออนไลน์ แต่ถ้าอยากได้ที่ปรึกษาวางแผน Online marketing ข้างกาย Say hi มาหา MarketingGuru ได้นะคะ 😁

ติดต่อ MarketingGuru

Inbox Facebook: m.me/marketingguru.io

โทร 02-381-9045

E-mail: contact@marketingguru.io

… ติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาด้าน Digital Marketingได้ ฟรี! …

#DigitalMarketing #การตลาดออนไลน์ #MarketingGuru

MG-Blog-April-3

เลือก Platform Social media marketing ให้ธุรกิจ

ยุคนี้ ใครๆต่างก็ทำการตลาดออนไลน์ หรือ Social media marketing กันทั้งนั้น แต่รู้หรือไม่ว่า ทุกธุรกิจไม่สามารถสร้าง Content marketing ใช้ทุกช่องทางเหมือนกันได้ ต้องอย่าลืมว่าแค่เพียงธุรกิจแตกต่างกัน แล้วอย่างอื่นจะเหมือนกันได้อย่างไร ? Platform แต่ละช่องทางของ Online marketing ก็มีความสามารถและความเหมาะสมที่แตกต่างกันเช่นกัน 

Platform Social media marketing แตกต่างกันอย่างไร ?

ในแต่ละ Platform นั้น แน่นอนว่าถูกสร้างมาให้มีจุดเด่นที่ไม่ซ้ำกัน การทำ Social media marketing ก็เหมือนเป็นการใช้จุดเด่นเหล่านั้นเพื่อวางวัตถุประสงค์และเจาะกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง นอกจากนี้ แต่ละธุรกิจย่อมมีความแตกต่างกัน จึงไม่แปลกเลยที่จะใช้ Platform ที่แตกต่างกัน  สิ่งสำคัญที่สุด คือการทำความรู้จักกับธุรกิจของตนให้ดี วางวัตถุประสงค์และกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อนำไปสู่การใช้ Platform ที่เหมาะสมนั่นเอง

แล้วมีวิธีเลือก Platform social media marketing อย่างไรล่ะ ?

อย่างที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้น ว่าให้นำจุดเด่นของแต่ละ Platform มาวิเคราะห์ร่วมกับแผนการตลาดของเรา (ในที่นี้คือ วัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย) ว่าสุดท้ายแล้วนั้น เราควรจะทำการตลาดออนไลน์ โดยการสร้าง Content marketing บน Platform ไหนดี ซึ่งแต่ละ Platform นั้นมีจุดเด่นและความแตกต่างกัน ดังนี้

  1. Facebook: Platform สุดแมสในการสร้างการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน ด้วยฟังก์ชันที่สามารถโพสต์ได้อย่างเต็มที่แบบ No limit ตัวอักษร โฆษณาได้หลากหลายรูปแบบคอนเทนต์ ทั้งข้อความ, ภาพ, Gif และวิดีโอ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการทำ Social media marketing ควรจะเป็นคอนเทนต์แบบกระชับ เข้าใจง่าย ประกอบกับรูปภาพหรือวิดีโอที่สอดคล้องกันนั่นเอง แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดมากมายของเฟซบุ๊กประกอบกับเจ้าของธุรกิจจะไม่สามารถทราบได้เลยว่าผู้อื่นพูดถึงเราอย่างไร ทำให้เฟซบุ๊ก เหมาะกับการใช้เป็น Platform ในการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมมากกว่า 
  1. Twitter: ส่วนใหญ่แล้วเมื่อพูดถึง Platform นี้ จะต้องเป็นคอนเทนต์ที่เป็นกระแส ณ ขณะนั้น แน่นอนว่าเมื่อพูดถึง Twitter จะต้องนึกถึง Hashtag (#) ซึ่งเจ้านี้แหละ ตัวทำ Social media marketing ชั้นดีของช่องทางนี้ก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็น Contact ของศิลปินหลากหลายท่าน ดังนั้น Platform นี้ จึงเหมาะกับการทำการตลาดแบบทันกระแส โดยการใช้ Hashtag เข้าร่วม อีกทั้งยังเหมาะกับ Influencer review เพื่อดึงให้ฐานแฟนคลับเข้ามาช่วยสนับสนุนและเป็นกลุ่มลูกค้าด้วยเช่นกัน
  1. Instagram: Platform ที่มีจุดเด่นในด้านของการแชร์รูปภาพ เรียกว่าเป็นการบ่งบอกเรื่องราวผ่านภาพถ่ายนั่นเอง ทำให้เหมาะกับการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ ที่แสดงถึง Mood&Tone ของธุรกิจ อีกหนึ่งข้อดี คือ Instagram มีการใช้ Hashtag (#) ที่มีประสิทธิภาพเหมือนกับ Twitter ทำให้สามารถทำโฆษณาSocial media marketing ผ่าน Hashtag ได้เช่นกัน
  1. Youtube: การใช้สื่อแบบ VDO ถือเป็นจุดขายของ Platform นี้ ผู้ที่เข้ามานั้นตั้งใจที่จะเสพ VDO โดยตรงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ณ ขณะนั้น เช่น หาวิธีแก้ปัญหา, ดูรีวิวสินค้า รวมถึงเสพเพื่อความบันเทิงอีกเช่นกัน ดังนั้นการทำ Social media marketing ผ่าน Platform นี้ ควรเป็น VDO แนะนำสินค้า, วิธีการใช้สินค้า, รีวิวสินค้า หรือการทำ VDO ให้ผู้คนสนใจที่จะดูต่อเรื่อยๆนั่นเอง
  1. Tiktok: ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางมาแรงในปัจจุบัน จุดเด่นของ Tiktok คือเป็น VDO Community Content ที่สั้นและหลากหลาย สามารถใส่เพลงเพื่อเพิ่มความสนุกแบบไม่ต้องตัดต่ออย่างซีเรียสมากนัก การใช้ช่องทางนี้ในการทำ Social media marketing จึงควรเน้นทำ VDO ที่สั้นและชวนให้ดูต่อแบบไม่ปัดขึ้น อาจจะเป็น Content สนุกๆ ที่แทรกการขายแบบไม่ Hard Sale เนื่องจากถือเป็น Platform ที่เน้นไปทางความบันเทิงซะมากกว่า

นี่เป็นเพียงแค่ Platform ที่ยกตัวอย่างมาให้แค่บางส่วนเท่านั้น เพราะในปัจจุบันรวมถึงอนาคตข้างหน้า การทำ Online marketing ในรูปแบบของ Social media marketing อาจจะมีการใช้ช่องทางสร้าง Content marketing ที่หลากหลายมากขึ้น ด้วยเพราะกระแสในขณะนั้น รวมถึงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อาจจะแตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน

แล้วควรเลือก Platform Social media marketing อย่างไร ?

ดังนั้นขอสรุปตรงนี้เลยว่า การทำ Online marketing โดยเลือกใช้ Platform Social media marketing ไม่มีข้อกำหนดตายตัว ไม่มีผิดไม่มีถูก อยู่ที่เรากำหนดวัตถุประสงค์ ร่วมกับเจาะกลุ่มเป้าหมายไว้อย่างไรมากกว่า สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจและรู้จักธุรกิจของตัวเองให้ดี เพราะปัจจัยนี้ส่งผลไปถึงทั้งวัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์ที่ใช้ และการเลือก Platform นั่นเอง

แต่หากใครหรือองค์กรไหน อยากมอบหมายเรื่องของ Social media marketing ให้กับบริษัท Dogital marketing agency เป็นผู้ดูแล MarketingGuru พร้อมให้คำปรึกษาและบริการอย่างครบวงจรเช่นกันค่ะ

สามารถติดต่อเพื่อขอรับคำปรึกษาจาก MarketingGuru ได้ฟรี

คลิก m.me/marketingguru.io  หรือโทร 02-381-9045